“มึงทำไมกูยังไม่มีแฟนวะ
กูไม่เข้าใจเลย”เสียงหญิงสาวที่องค์ประกอบทุกอย่างในตัวเธอก็เหมาะสมที่จะถามคำถามนี้อยู่ไม่น้อย
แต่จริงๆแล้วเหตุผลมันมีหลายข้อมากเลย ผมที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอนั้นพอจะอธิบายให้เข้าใจแบบละเอียดได้เลย
เพื่อใครที่กำลังจะจีบผู้หญิงนิสัยแบบเธอสักคนจะได้เอาไปปรับใช้ได้
ข้อที่1
คุณมีเวลาจำกัด
สมัยเธอยังอยู่ปี1
“เธอๆ
ชื่ออะไรครับ”ผมเดินตรงเข้าไปทักหญิงสาวที่พึ่งจะพบกันในวันนั้น
ซึ่งก็คือวันเปิดเทอมของมหาวิทยาลัย “เราชื่อเฟรนด์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”เธอตอบ “ครับยินดีที่ได้รู้จักครับ”ผมตอบ
“เป็นไงบ้าง จบจากที่ไหน”เธอเริ่มถามและหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้มีโอกาสถามอะไรเธออีกเลย
5นาทีผ่านไปมือของเธอก็เริ่มมาอยู่ที่ไหล่ผมแล้ว
เธอตบไหล่ผมชนิดที่เพื่อนที่สนิทกันปีสองปีบางคนยังไม่ทำเลย พอถึงเวลาพักกลางวัน
ก็มีหนุ่มทั้งเพื่อนและรุ่นพี่เดินเข้ามาคุยกับเธอไม่ขาดสายเลย
ซึ่งผลก็เหมือนกันแทบจะทุกรายคือไม่ได้เป็นเพื่อนก็ได้เป็นพี่กันไป
เธอน่าจะเป็นคนที่เสน่ห์แรงที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยรู้จักเลย
เอาเป็นว่าแค่มีคนเดินคอตกออกไป ไม่ถึงห้านาที ก็มีคนใหม่มาขายขนมจีบต่อทันที
แต่เจ้าตัวไม่เคยจะรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ มีอยู่คนหนึ่งที่ทำได้ใกล้เคียงที่สุด
ผมจำได้เลยว่าเขาบอกกับเธอว่า
“เฟรนด์เป็นคนน่ารักมากเลยนะ”ไอ้หนุ่มคนนั้นพูดอย่างมั่นใจว่าฉันนี่แหละที่จะได้พิชิตใจเธอ
“ไอ้เรื่องนี้มันแน่นนอนอยู่แล้ว”เธอตอบไปด้วยสีหน้ามั่นใจ
ซึ่งเหมือนสีหน้ามันย้ายจากหน้าชายหนุ่มมาที่หน้าของเพื่อนผม
แล้วความมั่นใจของไอ้หนุ่นนั่นก็หมดลงในทันที
ถ้าเป็นในภาพยนตร์ก็คงจะมีเสียงบรรยายว่า “หมดเวลาแล้วค่ะ
ยินดีต้อนรับสู่เฟรนด์โซน”
ผมเห็นเหตุการประมาณนี้วนไปสักร้อยรอบในเวลา1เดือนที่เรารู้จักกัน
จนเหยื่อรายแรกอย่างผมทำใจได้ไปเลย ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะ
เพื่อนผมนะมีความเท่ห์ที่จะดึงดูดสาวๆให้มาจีบด้วยนะ
แล้วสิ่งที่เธอทำก็คือโยนมาให้ผม ซึ่งผมก้ไม่เคยรับได้เลย เธอโยนมาแรงไป
ส่วนใหญ่มันจะกระแทกหน้าผม แล้วกระดอนกลับเข้าไปในเฟรนด์โซนเหมือนกับหนุ่มๆทั้งหลายนั่นแหละ
สรุปง่ายๆเลยคือถ้าจะจีบก็ต้องจีบให้จบภายในห้านาทีเพราะถ้าคุณใช้เวลามากกว่านั้นคุณก็จะเข้าสู่เฟรนด์โซนทันที
ข้อที่2
อาชีพหลัก”แม่สื่อ”
หลายๆคนที่เข้ามาจีบเธอก็ได้แฟนกับไปหลายคนนะ
เพียงแต่มันไม่ใช่เธอ คุณคงได้อ่านย่อหน้าก่อนๆมาแล้วใช่ไหม ว่าไม่ได้มีแค่หนุ่มๆที่กระเด็นเข้าไปอยู่ในเฟรนด์โซนของเธอ
สาวๆก็มีไม่น้อย หลังจากนั้นพอมีหนุ่มที่จะพยายามจีบเธอเข้ามา
เธอก็จะแนะนำให้รู้จักกับสาวๆเพื่อนเธอเสมอ เธอมักจะมาเล่าให้ฟังเสมอว่า
คู่ไหนได้คบกันเพราะเธอแนะนำบ้าง และมีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมมอยู่ในเหตุการ
“น้องเฟรนด์
รุ่นเรานี่ผู้หญิงน่ารักมากเลย”คำพูดจากปากนพี่คนหนึ่งที่แค่ได้ยินก็พอจะเดาประโยคถัดไปได้ไม่ยากเท่าไร
ผมที่นั่งอยู่ตรงนั้นยังรู้ได้ไม่ยาก แต่มันมีคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้
“ใช่พี่มานี่เลย”เฟรนด์ลากพี่คนนั้นเดินไปหาเพื่อนอีกคน “นี่ฝนพี่
น่ารักสุดแล้ว”เธอแนะนำทันที หน้าตาทั้งรุ่นพี่และเพื่อนงงไม่ต่างกัน
แล้วแม่สื่อเบอร์1ของภาควิชา ไม่สิไม่คณะก็มหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ ก็พูดอยู่แทบจะคนเดียว
ถ้าเป็นพนักขายก็ควรจะได้พนักงานขายดีเด่น เธออธิบายข้อดีของฝน จนฝนถึงกับมาพูดกับผมว่า”เฟรนด์รู้จักฝนมากกว่าฝนอีก”ฝนพูดอย่างนั้นหลังจากที่คบกับรุ่นพี่คนนั้นไปแล้ว
“ไม่เป็นไรฝน เพื่อนมีแฟนเราก็ยินดี”เป็นคำพูดที่ผมได้ยินเป็นประจำ
ข้อที่3 อย่าเปิดผิดประเด็น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พวกเราก็กลายเป็นรุ่นพี่ปี2แล้ว เมื่อมีรุ่นใหม่เข้ามาก็มีคนกลุ่มใหม่แวะเวียนมาขายขนมจีบให้กับเธอและมุขที่รุ่นน้องมักจะใช้ประจำก็คือ
“พี่เฟรนด์
ผมไม่เข้าเรื่องนี้เลยครับพี่พอจะสอนให้ได้ไหมครับ”พอรุ่นน้องพูดจบประโยค
วิญญาณที่1รุ่นก็เข้าสิงทันที เธอก็จะหยิบปากกาพร้อมกับไอแพดมาอธิบาย
ซึ่งแน่นอนว่ามักจะเกิน5นาที พอสอนจบเธอก็มักจะย้ำเสมอว่า “เข้าใจแล้วนะน้อง
ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ”พอจบคำพูดนี้ไอ้หนุ่มน้อยปี1นั่นก็หมดสิทธิทันที
หรือแม้แต่ไอ้หนุ่มที่ทำให้เธอเกือบจะเขินได้ผมก็เคยเห็น
ประมาณช่วงก่อนสอบกลางภาค ก็มีหนุ่มปี1คนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเธอ “พี่เฟรนด์ครับพี่เรียนเก่งมากๆเลยพี่ทำอย่างไรเหรอครับ”คำพูดที่ผมได้ยินแล้วรู้สึกว่าไอ้หนุ่มนี่มาถูกทาง
นิสัยอย่างหนึ่งของเธอคอเธอชอบเล่าเรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่เธอภูมิใจ
ซึ่งไอ้เวลาที่เธอเล่าเรื่องเนี่ยไม่ถูกนับรวมใน5นาที
พอเธอเล่าจบไอ้หนุ่มนี่มันก็รู้งานเหมือนทำการบ้านมาดี
“แล้วพี่เฟรนด์เล่นกีฬาไหมครับ”น้องถามต่อเพื่อไม่ให้ขาดตอน “พี่เล่นหลายอย่างนะ
บาส ปิงปอง ว่ายน้ำพี่เล่นได้หมดแหละ
เก่งด้วยนะ”เป็นคำพูดแก้เขินที่ผมมได้ยินครั้งแรก
เรียกได้ว่าน้องคนนี้ทำได้ใกล้เคียงที่สุด
ผมก็แอบลุ้นเหมือนกันเพราะลึกๆผมก็อยากจะเห็นเธอมีแฟน
แล้วตอนนั้นใบหน้าเธอก้เริ่มจะออกอาการแล้วด้วย
“แล้วพี่ยังเป็นประธานชั้นปีด้วยใช่ไหมครับ”น้องเขาพยายามต่อบทสนทนา
แต่ใครจะคาดคิดว่าไอ้ประโยคนี้แหละที่ตัดบททุกอย่าง พอเธอได้ยินก็เหมือนสวิตช์ความรับผิดชอบถูกเปิด
“แปบนะน้อง พี่นึกออกพอดี วันหลังเรามาคุยกันใหม่นะ”ไอ้น้องนั่นงงไปเลย ผมก็ด้วย
แล้วเธอก็เรียกผมกับเพื่อนที่อยู่แถวนั้นไปคุยเรื่องงานที่จะต้องจัดในเดือนต่อมา
นี่ถ้าน้องมันขอคบเฟรนด์ตอนนั้นก็มีสิทธิที่จะสมหวังไปแล้ว
แต่หลังจากนั้นผมไม่แน่ใจว่ามีโอกาสได้คุยกันอีกไหม
ข้อที่4
ต้องแย่งเธอพูดให้ทัน
คุณรู้ไหมว่าในหนุ่มๆที่พยายามจะคุยกับเฟรนด์ในฐานะคนไม่รู้จักแล้วข้ามไปเป็นคนรักเลย
สถิติน้อยที่สุดที่ดพูดคือกี่นาที คำตอบคือ3 ไม่ใช่3นาทีนะ3คำ
“พี่เฟรนด์ครับ”เสียงน้องคนหนึ่งเรียกเธอให้หันมา
“อ้าวว่าไงเราชื่อต้น(นามสมมุติ)ใช่ไหม เป็นไงบ้าง มาพอดีได้ข่าวว่า...”หลังจากจบประโยคที่ไม่ยาวนั้นน้องต้นก็ได้ไปช่วยงานคณะที่กำลังจะจัดขึ้น
แล้วประโยคต่อมาที่ต้นได้ยินจากปากเธอก็คือ”ขอบใจมากนะน้องต้น
พี่ดีใจนะที่เรามาช่วย ซึ่งต้นก็ได้ไประบายให้เพื่อนผมฟัง แล้วมันก็ทำได้แค่ปลอบเพราะมันเองก็โดนมาแล้วเหมือนกัน
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่มันจบออกไปทำงานมา1ปี
เกิดเหตการแบบนี้ไปอีกกี่ครั้งแต่มาวันนี้เฟรนด์ที่เคยเป็นผีเสื้อที่พอใครอยากจะจับก็มักจะบินหนีไป
กลับอยากจะรับบทคนที่อยากจะจับผีเสื้อดูบ้าง มาปรึกษาอดีตผีเสื้อตัวแรกอย่างผม
ผมนิ่งไปสักพักเพราะไม่รู้ว่าจะตอบเธอไปว่าอย่างไร
“แล้วมึงอยากมีแฟนจริงๆใช่ไหม”ผมเริ่มด้วยคำถาม
“บางครั้งกูก็อยากมีคนอยู่ข้างให้ปรึกษาปัญหาบ้างว่ะมึง”เธอตอบ
“ถ้ามีก็คงจะดีมึงจะได้เลิกโทรหากูตอนตีสองสักที”ผมพยายามเบี้ยงประเด็นไปก่อนในขณะที่ในความคิดนั้นกำลังจะประเมินผลว่าจะแนะนำเธออย่าไรดี
“ทำไมไม่เคยมีใคจีบกูเลยในชีวิต”คำพูดที่เธอพูดออกมาจากปากเธอแล้วผมแถบจะอยากตบกะบานสักทีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“มึงแน่ใจนะ”ผมถามย้ำพร้อมกับพยายามห้ามใจ “ใช่สิมึง
มึงเห็นชีวิตกูเคยมีมุมนั้นตอนไหน”เธอตอบพร้อมกับหันมามองหน้าผม ผมรู้ทันทีว่าเธอไม่เข้าใจเลยว่าเจตนาทุกคนที่เข้ามาทักเธอคือจะมาจีบเธอ
“มึงกูบอกมึงตรงๆนะ ว่าคนที่เข้ามาหามึงร้อยละ99เลย เข้ามาจีบมึง
แต่เขาไม่ทันจะพูดกันทุกคนเลย เอาตรงๆก็รวมกูด้วยเนี่ยแหละ”ผมตัดสินใจตอบเธอไปตรงๆ
“จริงปะเนี่ย”เธออุทานขึ้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดทันทีซึ่งเรื่องราวที่ผมเขียนบรรยายไว้ก่อนหน้านี้กำลังเกิดขึ้นในความคิดเธอ
คุณเคยเห็นคนหัวเราะทั้งน้ำตาไหม ผมเคยเห็นก็นี่แหละครั้งแรกเลย
ผมดึงเธอมาบีบหัวไหล่ เพื่อที่ปลอบเธอเหมือนที่ทำทุกครั้งนั่นแหละ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมไม่มั่นใจว่ามันจะได้ผลไหม
พายุเริ่มสงบลง ผมเลือกที่จะเงียบเพื่อที่ไม่ทำให้ลูกใหม่มันก่อตัว
เพราะผมที่รู้จักเธอมา5ปี ไม่เคยเห็นมุมนี้เลย ปกติผมจะได้บีบไหล่เธอเฉพาะเวลาโกรธ
หรือเสียใจผิดหวังเล็กน้อย นี่เป็นน้ำตาหยดแรกของเธอด้วยซ้ำที่ผมเคยเห็น “มึงว่ามันอยากไหมกะไอ้การมีแฟนเนี่ย”เธอเริ่มถาม
“มึงถามกู แฟนกูมึงก็เป็นคนหามาให้มึงจำได้ไหม”ผมตบพร้อมหันไปมองมัน “เออ
รู้งี้เก็บไว้เองดีกว่า”เธอพูดจบผมก็จ้องเธอแบบงงๆ “มึงหมายถึง”ผมถามด้วยสีหน้าแววตาที่สงสัยแบบสุด
“กุหมายถึงน้องจอย”เธอตอบพร้อมหันมายิ้ม ผมให้ไปมองกูมั่นใจได้ว่าพายุสงบแล้วรอยยิ้มที่ผมเห็นมาตลอด5ปีเวลาที่เธอมีความสุขมันกลับมา
ถึงแม้ว่ามันจะรวดเร็วกว่าที่คาดการผมก้ไม่ได้ประหลาดใจอะไร เพราะเวลาความคิดนั้นมันเร็วกว่าเวลาในโลกความจริงหลายเท่านัก
“พี่เฟรนด์หาได้อยู่แล้ว น่าจะดีกว่าแฟนหนูแน่”น้องจอยที่นั่งอยู่แถวนั้นกล่าวเสริม
“อันนั้นง่ายเลยน้องจอย แค่ไม่ติดคุก็ดีกว่ามันแล้วพี่ว่า”เฟรนด์ตอบ
แล้วหลังจากนั้นน้องจอยก็มานั่งแทนผม ผมที่มากับแฟนกลายเป็นกอขอคอซะอย่างนั้น
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติตั่งแต่สมัยเรียน เพราะเอาจริงๆจอยก็คือเฟรนด์ร่าง2นี่แหละ
แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงจีบเธอได้ ผมจะเล่าให้ฟัง
ข้อที่1
มีเวลาจีบ6นาที ก่อนจะกลายเป้นเพื่อนพี่น้อง ส่วนอีก3ข้อที่เหลือก้เหมือนกันเลย ผมจะบอกเคล็ดลับให้
เป็นความลับเลยนี้ ผมไม่ต้องจีบเลย เพราะร่าง1ที่พูดเร็วกว่าทำให้ผมผ่านข้อ4ไปได้อย่างง่ายดาย
ส่วนข้อ3ไอ้เพื่อนรักของผมมันก็ตรงประเด็นสุดถ้าให้พูดหยาบๆก็คือ”น้องช่วยรับเพื่อนพี่เป็นสามีที”เอาแบบไม่หยาบมากและกัน
ส่วนข้อ2 จอยไม่มีโอกาสได้ประกอบอาชีพ ส่วนข้อ1นั้นไม่ต้องห่วงจอยงงไปกลับคำพูดของเฟรนด์
ผมไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้น้องจอยหายงงหรือยัง หรือว่าถ้าถ้าหายงงแล้วน้องจะไปจากผมไหม
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ที่ผมสงสัยคือ
ร่าง1กับร่าง2เขาคุยอะไรกันท่าทางจริงจังมาก ซึ่งคนทั้งคณะผมรู้ดีว่าผลลัพธ์มันน่ากลัวขนาดไหน
ผมปล่อยให้ทั้ง2คนคุยกันจนพอใจ
แล้วก็มาลุ้นว่าพวกเธอจะมาเล่าให้ผมฟังไว้ “พี่เฟรนด์แกเครียดพี่
ทั้งเรื่องงานเรื่องอะไรสารพัด แกเลยแค่อยากได้คนปรึกษาแค่นั้นเอง”จอยเล่าให้ผมฟังขณะที่กำลังพาเธอกับไปส่งที่คอนโด
“คงงั้นแหละช่วงหลัง มันโทรหาพี่เที่ยงคืนตีหนึ่ง”ผมต่อความ “อ๋อหลังจากโทรหาหนูสินะ”เธอหันมาตอบ
ยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าอยู่ดีมันเป็นอะไรขึ้นมา “เออพี่ พรุ่งนี้แวะไปหาแกด้วยนะ
แล้วค่อยมารับหนู”คำพูดจอยยิ่งทำให้ผมงง “ใช่พี่ ไปเถอะไม่ต้องทำหน้างง ไปรับพี่เฟรนด์ใต้คอนโด”เธอย้ำอีกครั้ง
“โอเคได้ๆครับ”ผมรับคำก่อนที่จะถึงใต้คอนโดจอยพอดี เธอก็โบกมือบอกลา
พร้อมกับย้ำให้ผมไปหาพี่สาวสุดที่รักของเธอ
เช้าวันรุ่งขึ้น
วันเสาร์ที่ผมควรจะได้ไปหาแฟน พาเธอไปเที่ยวแต่เธอกับบอกให้ผมไปรับผู้หญิงอีกคนก่อน
ผมไปถึงคอนโดตามเวลาที่จอยบอก “พวกแกวางแผนอะไรกัน”ผมถามทันทีที่ขึ้นรถมา “เปล่ามึงไม่มีอะไร
ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย แต่ตอนสุดท้ายก็ถามเรื่องมีแฟน น้องมันบอกให้คุยกับมึงดู
มึงน่าจะเคยจีบกูมาก่อน”สิ้นคำนั้นในความคิดผมก็คือจอยเล่นผมแล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะจริงแต่ผมต้องบอกเฟรนด์ว่าอะไร “เออ ตั้งแต่วันแรกที่เจอนั่นแหละแต่ไม่ทัน”ผมตอบไปตรงๆเพราะคิดว่าน่าจะดีที่สุด
“แล้วทำไมมึงถึงไม่จีบต่อล่ะ”เธอถามต่อ “ก็ยังไม่ทันอะไรมึงก็ตบไหล่กูแล้ว
เป็นเพื่อนไปแล้ว แล้วสำหรับกูนะมึงเป็นเพื่อนดีที่ที่สุดเลย ก็มีช่วงหนึ่งที่ก็เคยคิดจะขอจีบมึง
แต่ก็ยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ นึกออกอีกทีก็คือมึงก็โยนน้องจอยมาให้กูแล้ว”ผมอธิบาย
“แล้วมึงว่าควรทำกูควรทำอย่างไงดี กูเว่ากูเปลี่ยนตัวเองไม่ได้”เธอตอบ “งั้นมึงก็ต้องเป็นคนจีบเขาก่อน”ผมแนะนำวิธีง่ายๆ
“เออดี เดี๋ยวลองดู”เธอตอบ
ผมวนรถไปรับจอยหลังจากที่คุยปรับทุกข์ให้เฟรนด์จบแล้ว
“ขึ้นมาเลยลูก”เสียงเฟรนด์เรียกจอยขึ้นเหมือนกับรถตัวเอง “ครับคุณแม่”แฟนผมก็ตอบรับแล้วกระโดดขึ้นรถมา
ผมก็กลายเป็นคนขับรถไปในทันที พวกเธอนั่งคุยอะไรไปสักพักซึ่งผมก็ไม่ได้มุ่งสมาธิไปที่ตรงนั้น
เพราะกำลังขับรถอยู่ “พี่ไปทะเลได้ไหม”จอยถาม
“อะไรนะ แล้วพี่เลือกได้ไหม”ผมที่ขับรถอยู่จะถึงบางนาแล้วก็ไม่ต้องเลี้ยวเข้าห้างที่คิดไว้แล้วตรงยาวไปเลย
ผมไม่อยากจะขัดใจคนสองคนนี้พร้อมกันหรอก ลำพังอยู่คนเดียวก็ไม่กล้าแล้ว
เมื่อขับไปถึงเฟรนด์ก็จูงมือผมกับจอบลงไปที่ชายหาด
ผมหันไปมองหน้าจอย จอยส่ายหน้าแสดงออกมาว่าไม่รู้เหมือนกัน “ไม่ต้องงงทั้งสองคนเลย
เราแค่อยากจะอยู่กับพวกแกสองคน ที่เราอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น แล้วก็ปลอดภัย”คำพูดนั้นทำผมกับจอยขนลุก
ปกติที่ดูจะเข้มแข็งจนไปต้องพึ่งพาใคร วันนี้ดูอ่อนแอจากแม่กลายเป็นลูกของพวกเราแทน
ผมคาดเดาเอาเองในใจว่าเธอคงจะเจอปัญหาที่หนักหนามาแต่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง
ไม่มีคำพูดจาใดหลุดจากปากเรา3คน เฟรนด์ที่เอียงตัวไปซบไหล่จอย
มือข้างหนึ่งยื่นมาบีบมือผมแน่ แทนความรู้สึกกดดันอะไรบางอย่างที่ไม่อยากจะแบกรับไว้เองคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
จริงเหตุการณ์ประมาณนี้มันเกิดขึ้นแล้วหลายครั้งแต่ปกติคนตรงกลางจะเป็นจอยไม่ใช่เฟรนด์
ผมรู้สึกได้ว่าแรงบีบมันมากกว่าที่จอยบีบมือผมพอสมควร ผมไม่แน่ใจว่าเป็นด้วยกำลังจากมือหรือแรงกดดันจากใจใจเธอ
“เฟรนด์ จริงๆมึงต้องการพูดอะไรกับพวกกูปะ”ผมตัดสินใจถามไปตรงๆ จนจอยหันมาจ้องตาเขม็ง
“พวกมึงจะไม่ทิ้งกูไปใช่ไหม กูมีแค่พวกมึงแล้วนะ”เฟรนด์พูดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหล
ผมนั่งทบทวนในใจเงียบก็พอจะได้คำตอบ “พี่เฟรนด์ไม่ต้องห่วงนะหนูกับแฟนไม่ทิ้งพี่แน่นอน”จอยพูดพร้อมกับดึงผมให้เข้ามากอดตัวเฟรนด์ไว้
ผมพยักหน้าแทนคำสัญญา เราสองคนโอบคนที่เคยกอดเราสองตนในสมัยเรียนในยามที่มีปัญหามาเสมอ
“พี่ย้ายมาอยู่กับหนูนะช่วงนี้”จอยเสนอขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เฟรนด์มองตาแล้วพยักหน้าตอบรับ
แล้ววันแต่งงานก็มาถึง
ใช่แล้วครับ
มันคงไม่ใช่งานแต่งงานของผมกับจอย แต่เป็นงานแต่งของเฟรนด์กับชายหนุ่มที่ทำลายกฎ4ข้อนั้นลงได้
หรือไม่ก็เพื่อนผมเนี่ยแหละที่ไปจีบเขาก่อนตามที่ผมได้แนะนำไป
ข้อสงสัยทุกอย่างกำลังจะถูกเฉลย
“ใครจีบใครก่อนครับ”พิธีกรชายที่คือเพื่อนของเจ้าบ่าวถาม
“ผมจีบก่อนครับ”คำตอบที่ผมที่นั่งฟังอยู่ทำหน้าไม่เชื่ออยู่ไกลๆ “จริงหรือคะ”พิธีกรหญิงที่ไม่เหมือนรู้ใจผมที่สุดเพราะก็คือจอยน้องรักของเจ้าสาวนั่นแหละ
“จริงครับผมเจอเธอครั้งแรกผมแย่งเธอพูดไม่ทันเลย”พอจบประโยคนี่คนครึ่งงานขำพร้อมกันซึ่งก็คือเพื่อนเจ้าสาว
“แต่ผมก็ต้องรอโอกาสที่ได้สารภาพกับเธอเกือบปี ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีมาก
แต่ผมก็ยังชอบเธอผมตัดสินใจวันนั้นยกมือพูดกับเธอว่าขอบอกอะไรหน่อยได้ไหม
แล้วก็บอกรักเธอหลังจากนั้นเราก็คบกัน”เจ้าบ่าวตอบ คลายปมสงสัยในใจผมไปหลายข้อ ข้อแรกผู้ชายคนนี้คือผมอีกคนหนึ่งที่ยอมเป็นเพื่อนกับเธอหลังจากที่ผิดหวังหลังจากจบ5นาที
ข้อที่2 จริงอย่างที่ผมคิดที่ชายหาด
ทุกคนที่เข้ามาคุยกับเธอพอต้องเป็นเพื่อนก็ห่างหายไปจากชีวิตเธอ
ส่วนข้อที่3ผู้หญิงแบบนี้มี2คนที่ผมรู้จักซึ่งอยู่บนเวทีทั้งคู่
ข้อสุดท้ายผมไม่เคยเลิกอย่างได้เฟรนด์เป็นแฟน แต่ผมได้เฟรนด์อีกคนมาเป็นเฟรนด์ต่างหาก
“ต่อไปก็ถึงช่วงเวลาที่สาวรอคอยแล้วนะครับ เจ้าสาวจะโยนช่อดอกไม้ เชิญสาวโสดมายืนหน้าเวทีรอได้เลย”พิธีกรชายกล่าว
เรื่องที่ผมแอบขำในใจเลยก็คือสาวๆที่ยืนรอรับดอกไม้อยู่นั้น
ไม่ต่ำกว่าครึ่งเคยหลงเสน่ห์ความเท่ห์ของคนที่กำลังจะโยนดอกไม้ “ถึงเวลาแล้วนะคะ3
2 1”จอยนับถอยหลัง ดอกไม้ลอยไปไหนไม่รู้ โวยแรงแขนเจ้าสาวผมพอเข้าใจได้ว่าคงกะไม่ถูกโยนเร็วไปจนมองไม่ทัน
เพื่อนสาวที่รออยู่ตรงนั้นนับสิบยืนงงงวย สายตามองหาดอกไม้ที่ไม่รู้ลอยไปไหน
พริบตานั้นทุกคนก้ได้ยินเสียงดังขึ้นเหมือน ไมค์ตกพื้น ทำให้ทุกสายตามองกลับขึ้นไปบนเวที
ภาพที่ผมเห็นพร้อมๆกับทุกคนในงานก็คือดอกไม้อยู่ในมือแฟนผม “พี่โยนไปที่อื่นไม่ได้จริงๆ
ขอบคุณที่มาส่งพี่ถึงตรงนี้นะ ไม่ต้องห่วงพี่แล้ว ไอ้คนข้างล่างนั่นด้วยนะ ถึงตาพวกแกแล้ว”เจ้าสาวหยิบไมค์ที่หล่นบนเวทีขึ้นมาพูด
เป็นฉากจบเรื่องราวนี้ ที่ผมคาดไม่ถึงจริง จอยก็บอกอย่างนั้น แฟนผมเล่าว่า”หนูงงเลยตอนพี่เขาโยนขึ้นไปตรงๆ
สูงมาก พอหนูตั้งสติก็เลยทิ้งไมค์รับดอกไม้ ซึ่งทำโดยสัญชาตญาณในตอนนั้น”จอยเล่าด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หลังจากเสร็จหน้าที่พิธีกร หลังจากนั้นก็แทบจะเหมือนเดิม จะเปลี่ยนไปก็แค่เป็นเฟรนด์โทรมาบ่นสามีกับจอย
ส่วนสามีเฟรนด์ก็โทรมาระบายกับผมแค่นั้นเอง
0 ความคิดเห็น