เธอ #1 เธอที่มุมคนเหงา

 


               ผมนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง บรรยากาศประมาณว่าคุณสามารถมานั่งวาดภาพได้เลย ด้านหนึ่งหันเข้าสู่วิวธรรมชาติ ด้วยโต๊ะเคาน์เตอร์บาร์ พร้อมกับบริการปลั๊กไฟมีพื้นที่พอสำหรับเป็นโต๊ะทำงานได้เลยทีเดียว แต่ปกติก็ไม่มีใครไปนั่งชาตรงนั้นนานๆหรอก เพราะมันถูกเรียกว่ามุมคนเหงา ใช่แล้ว มันเหมาะกับการนั่งชมวิว หรือถ่ายรูปเท่านั้นใครที่นั่งตรงนั้นนานๆ มันเป็นการบ่งบอกเลยว่า ไม่มีเรื่องอะไรในใจก็กำลังคิดถึงใครสักคน

               ด้วยร้านนี้มีบริการปลั๊กไฟ บวกกับราคาอาหารเครื่องดื่ม รวมกับค่าเดินทางแล้วไม่แพงเกินกว่าที่มนุษย์รายได้ระดับกลางอย่างผมจะจ่ายได้ ผมจึงเลือกนั่งตรงนี้ที่ร้านนี้ในทุกๆวัน     

               เวลาผ่านไปมุมคนเหงา ก็ไม่ค่อยเป็นมุมคนเหงาอีกต่อไป เพราะมีคู่รัก หรือกลุ่มเพื่อนมักจะใช้เป็นจุดถ่ายรูป เพราะเพียงคุณหมุนตัวเอง หันหลังให้โต๊ะที่ใช้วางอาหารเครื่องดื่ม ด้านหลังของคุณก็จะเป็นวิวหลักล้านทันที แต่ไม่รู้ด้วยความผูกพันกับมุมคนเหงาของเจ้าของร้านหรือเหตุผลใด มุมนี้ก็ยังถูกจัดไว้แบบเดิม เก้าอี้ทรงสูงที่วางห่างๆกัน เอาเป็นว่าถ้าถ่ายรูปในระยะปกติก็แถบจะไม่ติดคนที่นั่งอยู่ข้างๆได้เลย

วันจันทร์วันหนึ่ง ผมมาที่ร้านเป็นลูกค้ารายแรกตามปกติ

               “พี่รู้ไหมว่า สถิติที่นานที่สุดที่มีคนนั่งตรงนั้นคือกี่นาที”น้องพนักงานคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นขณะที่เดินมาเสริฟอาหารให้กับผม “เท่าที่พี่เคยเห็นก็ชั่วโมงนิดๆนะ”ผมตอบ “ใช่แล้วพี่แต่ตอนนี้มันถูกทำลายแล้วนะ เดี๋ยววันนี้เธอก็มา”น้องบริกรเล่าต่อพร้อมกับนำอาหารและกาแฟมาวางให้ผม ใจผมก็ไม่ได้สนใจเลย ผมหันไปมองตรงมุมนั้น แล้วจินตนากรว่าคนที่มานั่งตรงนั้น นานๆเขาต้องทำอะไร หรือคิดอะไรกัน ผมคิดเอาเองในใจว่า คงมานั่งทำงานแหละ แต่ในส่วนสมองของเหตุผลก้โต้แย้งมาว่า นั่งทำงานตรงนั้นมันทำให้ขี้เกียจจะตายไป ผมเคยลองแล้ว มันเพลินจนลืมทำงาน

               เวลาผ่านไปไม่นานคนที่ผมคิดว่าเป้นคนที่ผมรอคอยเดินทางมาถึง เพียงเธอเดินเข้ามาในระยะสายตาที่มองเห็น ความรู้สึกในหัวผมตอนนั้น คิดขึ้นมาได้อ่างเดียว การที่ปล่อยให้เธอคคนนี้เหงา อาจเป็นความผิดพลาดของผู้ชายทุกคนก็ได้ ขณะที่เธอเดินเข้ามา สายตาทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยหันไปมองพร้อมกัน “เธอก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใสปกติดี ไม่น่าจะเหงาแล้วมั้ง”ผมพูดกับตัวเองในใจ

               แต่มันไม่เป็นอย่างที่ผมคิดหรอก ทันทีที่เธอเดินเข้าสู่มุมคนเหงา มันเหมือนออร่าแห่งการรอคอยแผ่รอบบริเวณตรงนั้นในทันที สายที่ทำมองทอดออกไปยังวิวธรรมชาติ มันเหมือนไม่ได้โฟกัสกับจุดใดๆเลย ราวกับว่าภาพที่ใครก็มองว่าสวยงามหลักล้านตรงหน้า ไม่มีสิ่งใดที่เธอต้องการเลย แล้วออร่านั้นยังเหมือนจะปิดกั้นใครก้ตามที่ไม่ใช่คนที่เธอรออยู่ไม่ให้กล้าที่จะเดินเข้าไปนรัศมีนั้น ผมรู้สึกได้เลยว่าถ้าเดินเข้าไปทักทายเธอคงต้องถูกพลังอะไรสักอย่างเผาให้ตายทั้งเป็นอยู่ตรงนั้น

               แล้วแล้วรัศมีป้องกันนั้นก็เปิดชั่วคราวด้วยคำง่ายที่ว่า”ขออนุญาตเสริฟอาหารค่ะ”คำพูดนั้นทำให้เธอหันมายิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า น้องพนักงานจึงเดินเข้าไปในรัศมีได้อย่างปลอดภัย พอน้องพนักงานวางอาหารเสร็จแล้วเดินจากไป รัศมีสีเศร้าๆนั้นก็ปิดกั้นเธออีกครั้ง หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่าผมบรรยายเกินจริง แต่ผมบอกเลยว่าไม่ใช่อย่างนั้น มีลูกค้าหนุ่มคนหนึ่งไม่ทันระวังตัว หรือไม่ทันสังเกต เดินเข้าไปคุยกับเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมไม่รู้หรอกว่าตรงนั้นเธอกับเขาคุยอะไรกัน แต่ทันทีที่เธอหันมายิ้มแล้วพูดอะไร2-3คำสีหน้าที่เคยยิ้มก็ถอดสีไปในทันที ซึ่งทำให้ผมไม่ต้องเป็นคนไปทดสอบพลังงานนั้นด้วยตัวเอง

               ผมยังคงไปที่นั่งทุกวัน และผมก็เห้นเธอทุกวันเช่นกัน ผมที่เปลี่ยมโต๊ะนั่งแทบจะทุกวันยังเบื่อ ต้องแอบย้ายที่ทำงานไปบางวัน แต่เธอก็นั่งที่เดิมๆ ด้วยท่าทางเดิม ทุกๆวัน จากคำบอกเล่าของพนักงาน ถ้านับเวลาต่อๆกันเธอน่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ต่ำกว่า3วันแล้ว ผมคิดเอาเองในใจว่าเธอคงจะรออะไรสักอย่าง หรือใครสักคนจนกว่าจะได้มา รัศมีสีเศร้านั้นจึงจะจางหายไป

               วันหนึ่งผมมาที่ร้านช้า จนต้องไปนั่งใกล้ๆกับบริเวณที่เธอมานั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงนั้น มันใกล้พอที่จะได้ยินบทสนทนาของเธอ กับชายหนุ่มที่ไม่รู้กฎของการเป็นลูกค้าร้านนี้ข้อล่าสุด “ขอโทษนะครับคุณชื่ออะไรครับ”ผู้กล้ารายล่าสุดกล่าวคำท้าทาย “เจนค่ะ”เธอตอบทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อยเหมือนกับตัวเองสามารถที่จะสร้างความเสียหายให้กับกำแพงที่แข็งแกร่งที่สุดในร้านนี้ได้ “คุณเจนมานั่งที่นี่ทุกวันเลยเหรอครับ”เขาพยายามใช้ค้อนธรรมดาทุบกำแพงที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันแข็งขนาดไหน แต่ผมกับน้องในร้านนั้นรู้ดี “ใช่ค่ะ เจนว่ามันเหมาะกับการมารอใครสักคนดี”กำแพงหันมาตอบ ผู้กล้าของเราพลันคิดไปว่ากำแพงเริ่มจะอ่อนลงแล้ว “เขาอาจมาแล้วก้ได้นะครับ”ผู้กล้าของเราใช้ค้อนที่เขาคิดว่าดีที่สุด และมันจะทุบกำแพงนี้พังลงอย่างแน่นอนฝาดมันออกไปยังกำแพง เจนหันมายิ้ม สีหน้าที่เป้นมิตรกลายเป็นเศร้าสร้อย ส่ายหัวไปมาสองสามที เงยหน้าขึ้นเล้กน้อยแววตาเคลื่อนไปทางเดียวกันแสดงให้เห็นว่ากำแพงยังแข็งแกร่งดังเดิม “ยังค่ะ เจนว่ายัง”คำตอบของเธอ ดังหอกจากทหารเฝ้ากำแพงแทงทะลุเกาะของผู้กล้าจนกระเด็นถอยหลังออกมา พร้อมกับหอกที่ปักอยู่ตรงหัวใจ จริงๆแล้วหอกไม่ได้พุ่งออกมาแรงแต่อย่างใดเลย แต่แรงที่อัศวินหนุ่มพุ่งเข้าไปทุบกำแพงนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องบาดเจ็บสาหัส

               ผมที่นั่งอยู่ตรงนั้นตัดสินใจได้เลยว่า ขนาดผู้กล้าระดับอัศวิน ยังทำอะไรกำแพงนั้นไม่ได้ ไอ้ชาวบ้านอย่างผมขอเป็นผู้ชมเสียดีกว่า ถึงแม้เจ้าหญิงที่อยู่หลังกำแพงนั้นจะสวยขนาดไหนก็ตาม

วันรุ่งขึ้นผมก็ยังต้องไปทำงานที่เดิม เฝ้ามองผู้กล้าหน้าใหม่ในทุกๆวันจนผ่านไปสองสัปดาห์ เธอไม่เคยทำอะไรนอกจากนั่งมองหาอะไรสักอย่าง กับคุยโทรศัพท์ ซึ่งดูจากทางทางมือไม้แล้วก็คงไม่พ้นเรื่องงาน ยิ่งวันไหนเป้นวันหยุด คุณเจนสามารถนั่งจ้องความว่างเปล่านั้นได้ตลอดระยะเวลาเปิดร้านได้เลยที่เดียว ส่วนผู้กล้าก็ล้มหายตายจากกันไปหลายสิบคน

“พี่ไม่ลองมั่งเหรอคะ”น้องพนักงานเดินมาเสริฟอาหารพร้อมกับแซวซึ่งผมรู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร “ไม่อะไร ให้เขารอคนของเขาเถอะเตย “นั่นสิพี่ เตยก็ไม่รู้ว่าเขารอใคร แต่เธอก็นั่งตรงนั้นอย่างนั้นมาครึ่งเดือนแล้วนะ หล่อขนาดไหน มาดดีขนาดไหนก้ไม่รอดสักราย”เตยตอบพร้อมกับยิ้ม “แล้วแกยังจะให้ฉันไปตายตรงนั้นอีกเหรอฮะไอ้น้องรัก”ผมถาม “เตยว่าอย่าดีกว่า เดี๋ยวเสียลูกค้าประจำ555”เธอหันมาตอบพร้อมกับขำออกมา

การรอคอยของผมต่างจากคนอื่น คนอื่นอาจรอให้เธอเปิดโอกาสให้ แต่สำหรับผมแล้ว ผมแค่อยากรู่แค่นั้นว่า”ใครคือคนที่เธอรอกันแน่ เขาจะเป็นคนแบบไหน ที่ทำให้คนคนนี้เฝ้ารอโดยไม่ชายตามองใครสักคน

คุณอาจคิดว่าเธอเป้นคนหยิ่ง ไม่อยากคุยกับใคร แต่จริงๆเธอคุยกับทุกคน ด้วยสีหน้าที่เป็นมิตรมากๆด้วยซ้ำ แต่มันจะเปลี่ยนไปเมื่อบทสนทนาไปถึงจุดๆหนึ่ง ซึ่งผมคาดเดาได้ดี และผมก็คิดว่าหลายๆคนก็เดาออก ว่าถ้าใครถามถึงคนที่เธอรอ หรือแสดงตัวว่าเป้นคนที่เธอรอ รอยยิ้มพิฆาตนั้นก็จะเผยออกมา  ซึ่งมันทำให้ผมไม่กล้าที่จะไปหาคำตอบจากเธอ ผมกลัวน้องๆที่นี่จะเสียลูกค้าอย่างผมไป หรือตรงๆก็คือผมกลัวต้องย้ายที่นั่งทำงาน

พวกคุณอาจคิดว่าผมนั้นจ้องมองเธอตลิดเวลาจนเข้าใจเรื่องราวของเธอ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลยผมเธอแค่ตามปกติของการใส่ใจเรื่องรอบตัวเท่านั้น เพียงแต่ทุกครั้งนับร้อยครั้งพันครั้งที่ผมมองไปมันก็เป็นภาพแบบเดียวกัน จากความสงสัยมันเริ่มแปลเปลี่ยนเป้นความสงสาร แต่มันก็อาจยังไม่มากพอกับที่ผมสงสารตัวเองที่จะโดนพลังจากรัศมีสีเศร้านั้นเผาผมให้เศร้าตามไม่ทางจิตใจอีกคน

บางวันที่ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากเห็นเธอนั่งอยู่ในมุมนั้นก็มาถึง ถึงผมจะเป็นรู้ค้าประจำของร้านนั้นแต่ผมก็ไม่ได้มีสิทธิใดในการไปบอกเธอว่า”วันนี้คุณเจนไม่มาได้ไหมครับ” ผมทำได้แค่ย้ายร้านไปนั่งยังร้านที่มีหลายๆสาขา ที่อยู่ห่างจากร้านนั้นพอสมควร ผมนั่งทำงานจนถึงเวลาที่ปกติผมจะต้องลุกออกจากร้านเพราะว่าร้านจะปิดแล้ว แต่ร้านที่ผมมาวันนี้มันเปิด24ชั่วโมง ผมเลยถือโอกาสนั่งทำงานอดิเรกผมต่อ ซึ่งปกติผมจะต้องกลับไปทำที่บ้าน หากคุณสงสัยว่ามันคืออะไร มันก็คือการเขียนถึงใครสักคนที่เราบังเอิญพบเจอแล้วมันน่าสนใจ เหมือนกับที่คุณนั่งอ่านมาทั้งหมดนี่แหละ

แลพสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คุณจนเดินมาที่ร้านหลังจากเวลาที่ร้านนั้นปิดประมาณได้ว่าเวลาขับรถจากที่นั่นมายังร้านนี้ เธอเดินเข้ามาแล้วคงสังเกตเห็นผม เลยส่งยิ้มที่เหมือนคำชี้ชวนให้ผมลองทุบกำแพงดูบ้างมาให้ แล้วผมก็ยิ้มตอบไปเหมือนกับจะตอบว่าไม่กล้าหรอกครับ เธอเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของร้านหลังจากได้รับเครื่องดื่มเรียบร้อย คราวนี้มันไม่มีมุมคนเหงาให้เธอนั่งแล้ว

แต่คุณเชื่อไหม เพียงแค่เธอนั่งลง แล้วหยิบหูฟังใส่หูทั้งสองข้าง สายตาจ้องมองภาพวาดบนผนัง บรรยากาศรอบตัวเธอไม่ได้ต่างอะไรจากตอนที่เธออยู่ในมุมคนเหงาแม้แต่น้อยเลย ผมออกจากร้านเวลา2ทุ่มซึ่งเธอก็ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น ขณะที่ผมขับรถกลับบ้านผมก็อดนึกสงสารเธอไม่ได้ กำแพงที่เหมือนจะกั้นใครๆไม่เข้าหาเธอ จริงๆแล้วมันอาจจะกั้นเธอออกจากโลกทั้งใบอยู่ก็ได้ แต่จะให้ผมทำอย่างไรล่ะ ผมไม่มีความสามารถ หรือคุณสมบัติใดๆในการไปทุบกำแพงสุดแกร่งนั้นอย่างแน่นอน ผมคิดอย่างนั้นนะ

แล้วเหตุการณ์มันก็เล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น สถิติคนที่ทนมุมคนเหงาของเธอตอนนี้ไม่มีใครทำลายได้แล้ว เพราะมันคือ10ชั่วโมง ซึ่งคือเวลาทั้งหมดที่ร้านเปิดให้นั่งได้ต่อวัน แต่จริงๆแล้วหากใครมองผ่านๆ หรือมองครั้งแรก การที่เธอนั่งอยู่ตรงนั้นมันไม่ได้ทำให้บรรยากาศในร้านมันดูเศร้าแต่อย่างใด หากมองไปเป็นครั้งแรกจะรู้สึกว่าภาพตรงนั้นงดงามดี หญิงสาวที่ดูจะมีพร้อมทุกอย่างในชีวิต กำลังนั่งรอใครสักคน ซึ่งถ้าไม่ได้เห็นภาพนั้นมาเป็นครั้งที่หนึ่งพันสิบเอ็ดครั้งอย่างผม หรือมากกว่านั้นสำหรับน้องๆที่ร้าน ก็คงจะคิดว่าอีกไม่นานเธอคงจะได้เจอ

และแล้ววันที่วันที่ความสงสารของผมมันมากกว่าวามกลัวก็มาถึง ผมเดินเข้าไปยืนข้างเธอ ผมไม่แสร้งที่จะถามชื่อเธอหรอกผมรู้อยู่แล้ว “คุณเจนเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”ผมถามไปตรงๆแบบที่ไม่คิดอะไร แต่ในใจก้หวังเล็กๆว่าผมจะไม่โดนรัศมีสีเศร้านั้นทำลายล้าง เธอส่ายหน้าเหมือนทุกครั้ง ผมคิดในใจว่าผมก็คงเหมือนทุกๆคนที่ผ่านมา แทนที่ผมจะหยิบค้อนอีกอันเข้าไปทุบกำแพง ผมกลัวเกินกว่าจะทำอย่างนั้น “ถ้าเล่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ”ผมเลือกที่จะหยิบโล่ขึ้นมาป้องกันตัวเอง เพราะไม่อยากถูกหอกแทง ผมหันไปมองที่หาตาเธอแบบกล้าๆกลัวๆ ผมสังเกตเห็นอะไรบ้างอย่างไหลออกมาจากตาเธอ น้ำตาเธอไหลออกมา ผมในตอนนั้นไม่แน่ใจว่าผมทำถูกหรือผิด ผมกลัวที่จะทำให้เธอไปคิดถึงเรื่องที่เธอไม่อยากจะคิดถึง “เป็นค่ะ เป็นตั่งแต่วันแรกที่เจนมานั่งตรงนี้”เธอตอบผม ผมไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่แสดงสีหน้าออกไปว่ามีอะไรก็ระบายออกมาได้นะ ผมอาจช่วยอะไรไม่ได้ แต่รับฝังได้ เธอฟูบตัวลงไปกลับโต๊ะสิ้นความแข็งแกร่งของกำแพงลง ผมทำลายมันได้จริง แต่ผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลย เพราะผมกังวลว่ากำแพงมันจะทับเจ้าหญิงให้จากไปพร้อมๆกับมัน

เธอพูดเล่าเรื่องราวออกมามากมาย ผมไม่คงไปอาจเขียนมันลงไปได้หรอก มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ ผมว่าคุณเองก็คงไม่ได้อย่างจะรู้สักเท่าไรนัก ผมก็เรียกเตยให้มาหาให้เขากระดาษเช็ดหน้ามาให้เธอเช็ดน้ำตา ลุกค้าทั้งร้านจ้องมาที่ผม หนุ่มที่เคยลองเดินมาตรงนี้หลายคน ไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาดูเหตุการณ์ ผมกับเตยก็เลยต้องทำหน้าที่คนที่ดูกำแพงนั้นพังลง เตยบีบไหล่คุณเจนเบาตลอดเวลาเหมือนคนที่พยายามช่วยเจ้าหญิงหลบเศษกำแพง กำแพงนั้นมันใหญ่จนผมไม่สามารถมองเห็นมันทั้งหมดได้เลย น้ำหนักของมันทำให้ค้อนที่ดีที่สุดหลายอันไม่สามารถทำลายมันได้ แต่ผมโชคดีทุบไปโดนอิฐก้อนที่เปาะบาง แต่มันแบกสมดุลทั้งหมดของกำแพงนั้นไว้ จนมันพังลงมา  จนคุณเจนเริ่มอาหารดีขึ้น “ขอบคุณมากนะคะ เจนว่าเจนโอเคแล้ว”เธอพูดขึ้นพร้อมกับปาดน้ำตา ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับไปทำงานต่อ แล้วปล่อยตรงนั้นให้เป็นหน้าที่ของน้องเตยไป แต่ในใจก็ยังอดกังวลไม่ได้ จนกระทั่งถึงเวลากลับบ้าน ของเธอ “พรุ่งนี้เราเจอกันนะคะพี่เจน”เตยกล่าวราวกับขอคำสัญญาว่าเธอจะกลับมา เจนหันมายิ้มตอบด้วยสีหน้าแววตาที่พอไว้ใจได้ เธอไม่ลืมที่จะเดินมาทางผม “ขอบคุณนะคะ”เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นครับ ไว้เธอคุณเจนเจอคนที่รอแล้ว อย่าลืมพาเขามานะครับ”ผมเผลอหลุดปากออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ในจใจผมคิดได้ทันทีว่านี่ผมพูดอะไรออกไป แล้วมันจะส่งผลอย่างไรกับจิตใจที่น่าจะบอบบางมากๆในตอนนี้ “ค่ะ”เธอตอบสั้นๆ วึ่งผมก้ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าผมทำถูกหรือไม่ เอาจริงๆตั้งแต่ที่เข้าไปถามเธอแล้ว

วันต่อมาผมรีบตรงไปยังร้านในเวลาร้านเปิด เพื่อจะได้พบเธอ ไม่ใช่เพราะความคิดถึงอยากจะเจอ แต่ต้องการแน่ใจว่าเธอปลอดภัย แต่ผมนั่งทำงานด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับงานแม้แต่น้อย จนผ่านไปจนเกือบเที่ยงผมทนนั่งอยู่ไม่ไหวผมเลยเดินไปหาเตยที่เคาน์เตอร์ “คุณเจนติดต่อมาบ้างไหมเตย”ผมถาม “ฮั่นแน่ เป็นห่วงเขาล่ะสิ แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ นี่”เธอพูดพร้อมกับข้อความที่ทักมาที่ร้านว่า ไม่ต้องห่วงนะพร้อมกับรูปเธอในบุคลิกที่ผมไม่เคยได้เห็นแม้แต่เสี้ยวหนึ่ง “โอ้ย!ค่อยโล่งอก กลัวจะไปทำให้เขาแย่ล่ะสิ”ผมถอนหายใจ “หนูว่าพี่อาจเป็นคนที่คุณเจนรอก้ได้นะ”เตยแซวพร้อมกับยักคิ้ว ผมไม่ตอบอะไร แม้แต่จะยิ้มยังไม่กล้า แต่ในใจก้แอบยิ้มในใจว่าคงเป็นผมนี่แหละที่เธอรอ อย่างน้อยผมก็ทำให้เธอยิ้มได้

เวลาผ่านไปจนบ่ายโมง เธอก็มาถึงร้าน คราวนี้เธอไม่เดินไปที่มุมเดิมแล้ว เธอเดินตรงมาที่ผม ผมแอบยิ้มในใจว่า”กูนี่แหละคนที่เธอรอ” ซึ่งมันก็เป็นแบบที่ผมคิดนั่นแหละ เธอเดินเข้ามาจนใกล้มากจนผมเกือบเผลอยิ้มออกไป “คุณอยากเจอคนที่เจนรอใช่ไหมคะ”เธอถาม “ใช่ครับ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเขาคนนั้นเป็นแบบคนแบบไหน”ผมตอบออกไปแบบนั้น แต่ในใจผมแอบคิดว่าถ้าไม่ใช่ผม ก็อาจเป็นใครสักคนที่จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะตรงนั้นมันไม่มีใครอื่นเลย “วันนี้เจนพาเขามารู้จักคุณค่ะ”เธอตอบ ซึ่งทำให้ผมยิ่งมั่นใจเลยว่ากูแน่ๆ แล้วเธอก็หยิบสิ่งที่คล้ายกับกรอบรูปขึ้นมา ผมคิดในใจว่าคนที่รอไม่ใช่ผม แล้วก็คงไม่สามารถกลับมาหาเธอได้ “ผมเสียใจด้วยนะครับ”ผมกล่าวออกไป ซึ่งทำให้เจนถึงกับขมวดคิ้ว “เขายังไม่ตายค่ะ เขาแค่ไม่อยู่มาสักพัก”เธอตอบทำเอาหน้าผมนี่แตกเป็นเสี่ยงๆเลย “ขอโทษด้วยครับผมคิดไปเอง”ผมรีบขอโทษ “ไม่เป็นไรค่ะ แต่นี่มันไม่ใช่รูปค่ะดูดีๆสิ”เธอพูดพร้อมกับยื่นสิ่งของในมือให้ผมดูใกล้ๆ ยิ่งทำให้ผมงงไปมากกว่าเดิม สิ่งของในมือเธอมันคือกระจก แต่ในไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็เริ่มคลี่คลายปมที่ผมสงสัย เธอวางกระจกลงตรงหน้าเธอ แล้วก็ชี้ไปที่กระจก ผมมองไปก็เจอเธอที่หน้าตาดูมีชีวิตชีวาต่างจาก18,000นาทีที่รู้ผมเห็นเธอก่อนหน้านี้ ผมเข้าใจทันทีว่า เธอนั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรอตัวเองที่มีชีวิตชีวากลับมาอีกครั้ง

หลังจากนั้นผมกับเธอก็สนิทกันมากขึ้น บางครั้งเธอก็มานั่งทำงานโต๊ะเดียวกับผม ถ้าคุณบังเอิญมาที่ร้านนี้แล้วเห็นคุณอาจคิดว่าผมคือคนรักของเธอ แต่จริงแล้วตอนนี้ผมหน้าที่กำแพงกั้นผู้กล้ารายใหม่ของเธอ เหลือที่พวกคุณเรียกกันว่า”ไม้กันหมา” แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แม้ว่าใครหลายๆคนคิดว่าการได้คุณเจนเป็นแฟนต้องโชคดีมากแน่ๆ แต่ผมกับรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกับคุณเจนน่าจะดีกว่าเยอะ เพราะเธอที่ร่าเริงนั้นมีความหน้ากลัวในอีกรูปแบบหนึ่ง คือคนที่พร้อมจะทำงานตลอดเวลา จนแทบจะไปไม่มีเวลาสนใจความรักเสียด้วยซ้ำ

.

.

.

.

..

.

.

.

ปล.แต่ลึกๆก็ยังอยากจะลองเป็นดูสักครั้งเหมือนกัน

    

 

              

              

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น